เราอายุมากกว่าแฟน 8 ปี ค่ะ หน้าที่การงานเราดีกว่ามาก เงินเดือนสูงกว่าแฟน 3 เท่า พื้นฐานทางครอบครัวดีกว่า ฐานะทางบ้านก็ดีกว่า หลายคนสงสัยว่าทำไมเราถึงเลือกคบเค้า เพราะเค้าเป็นคนดี ซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงานเก็บเงิน มีความเป็นผู้ใหญ่พอๆกับเรา ใจเย็น เป็นคนที่วางแผนอนาคต เค้าก็นับว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนนึง เราเลยตัดสินใจให้โอกาสเค้า คือคบกันเป็นแฟน และพัฒนาความสัมพันธ์ที่จะไปเป็นคู่ชีวิตกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราถึงได้รู้ว่า การเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต มันยากมากนะ ต่างกับตอนที่เราเลือกใครสักคนมาเป็นแฟน เพราะมันมีปัจจัยอีกหลายอย่างในการใช้ชีวิตคู่ แค่ความดี ความซื่อสัตย์ ความขยันทำมากิน หรือแค่ใจ มันไม่พอจริงๆ เพราะการเริ่มต้นสร้างครอบครัว มันใช้เงินเยอะมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เงิน” คือปัจจัยสำคัญอย่างนึงในการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน อ่านถึงตรงนี้ อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าเราเห็นแก้เงินนะคะ แค่จะบอกว่า ไม่ต้องรวย ไม่ต้องมีมากกว่าก็ได้ ขอแค่มีเท่าๆกัน ไม่เบียดเบียนกันก็พอ รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ หรือที่ผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเลือกคนที่“ศีลเสมอกัน” แล้วชีวิตคู่จะยืนยาว
ปีนี้เรามีแพลนจะแต่งงานกัน แต่ยิ่งใกล้ถึงวันแต่งเราเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเราเลือกจะทิ้งเค้า เพราะ
1. เราไม่ไหวที่จะซัพพอร์ตเค้าไปตลอดชีวิต ด้วยความที่เค้าเงินเดือนน้อยกว่า และอายุน้อย หลายๆครั้งเราต้องซัพพอร์ตเค้าเรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยออกค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถเค้า เราช่วยเค้าออกหมด เอาเงินเก็บส่วนตัว ดาวน์รถให้ หรือให้เค้ายืมเงินบ่อยๆ ถึงแม้ว่าเค้าจะคืนทุกครั้ง แต่มันบั่นทอนความรู้สึกเราลงไปเรื่อยๆ (ไม่จำเป็นต้องมีมากกว่าแต่ต้องไม้เบียดเบียนกัน) แล้วในอนาคตเราต้องซัพพอร์ตเค้าไปอีกกี่ปี ให้เค้าสามารถตั้งตัว และดูแลเราได้
2. พื้นฐานครอบครัวเค้าแตกต่างกับเราเกินไป ทั้งฐานะทางบ้าน บ้านเราครอบครัวซัพพอร์ตเราหมด ไม่ให้เราต้องลำบากเลยแม้แต่นิด ต่างจากครอบครัวเค้า ที้เค้าดิ้นรนมาด้วยตัวเอง ไม่คิดที่จะพึ่งพ่อแม่ ซึ่งมันก็ดี แต่มันก็มีตะหงิดใจที่ เค้าไม่เคยขอให้ที่บ้านซัพพอร์ต แต่กลับมารบกวนแฟนให้ซัพพอร์ตให้แทน
3. ที่บ้านเรามีแต่ให้เค้า พาไปกินข้าว ก็เลี้ยงเค้ามื้อดีๆ ต่างจากครอบครัวเค้า ที่เค้าพาไปกินข้าว ยังต้องเลี้ยง ทั้งที่เงินเดือนตัวเองก็แทบไม่พอใช้ จนบางครั้งเราอดสงสารไม่ได้ ต้องถามว่าเราช่วยออก เพื่อเลี้ยงข้าวญาติเค้าด้วย
4. ญาติเราไม่เคยไปรบกวนเงินเค้าเลย มีแต่ญาติเค้าที่ชอบมาขอยืมเงิน พอเค้าไม่มี ก็บอกให้เค้ามายืมเรา ซึ่งเราก็เคยให้ไป คิดว่านี่ขนาดไม่แต่งงานนะ ถ้าแต่งงานจะขนาดไหน เค้าบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ในความรู้สึก คือมันไม่ใช่เลย มันคือการแต่งกับครอบครัวเค้าด้วย ไม่งั้นญาติเค้าคงไม่มารบกวนเรา
5. พ่อเค้าเป็นคนใช้เงินเก่งมาก ใช้เงินเกินตัว หลายครั้งไปก่อหนี้ ให้แม่หรือคนในครอบครัวเค้าต้องมาตามแก้ และไม่เคยซัพพอร์ตลูกชายตัวเองเลย ซึ่งเราก็กลัวว่าแต่งงานกันไป เราอาจเสี่ยงต้องไปใช้หนี้แทนพ่อเค้า ต่อให้เค้าบอกว่าเค้าวางแผนไว้หมดแล้ว จะไม่ให้ถึงเรา แต่มันคือความเสี่ยงที่เราเห็นอยู่แล้วตรงหน้า ต่างจากพ่อแม่เราที่มีแต่ให้ลูก ไม่เคยขออะไรคืนเลยสักอย่าง
6. มุมมองการมีลูกก็ต่างกัน เค้าอยากมีลูกมาก เหตุผลนึงที่อยากรีบแต่งงานกับเราคือ กลัวเรามีลูกไม่ได้ ถ้าอายุมาก แต่เราในตอนนี้ไม่อยากมีเลย แค่ตอนนี้อยากจะใช้เงินเพื่อตัวเอง ยังไม่ได้เลย เพราะต้องเก็บไว้เยอะๆ เผื่อแต่งงานกันไปแล้ว เงินไม่พอ แล้วยิ่งเราเป็นฝ่ายซัพพอร์ตเค้ามากกว่า เรายิ่งไม่อยากมี้ข้าไปอีก
7. อายุเรากับเค้าต่างกันเกินไป ในอนาคตเค้าอายุ 30 เราปาไปจะ 40 แล้ว เราคงไม่มีทางเลือกอะไรในชีวิตแล้ว ส่วนเค้าคงมีพร้อมทั้งเงิน บ้าน หน้าที่การงาน มีผู้หญิงเข้าหาเค้าอีกเยอะ อะไรจะการันตีว่าถึงวันนั้นเค้าจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรการันตีความซื่อสัตย์ในอนาคตได้ เป็นความเสี่ยงที่เราเห็นชัดเจน แล้วเราไม่พร้อมจะรับมัน
8. เราไม่มีหนี้อะไรเลย แต่เค้ายังมีหนี้รถที่ต้องผ่อนอีก 5 แสนกว่า ถ้าแต่งไป ก็คงไม่พ้นเร่ต้องไปช่วยเค้าผ่อนรถ เพราะแต่งงานกันก็เท่ากับรวมกระเป๋าตังกัน และวางแผนจะซื้อบ้านกันอีก คงไม่พ้นเราต้องไปผ่อนรถ ผ่อนบ้าน น้ำหนักทางค่าใช้จ่าย คงเทมาทางเราเยอะมาก ซึ่งทุกวันนี้ เค้าผ่อนรถก็ตึงมือมากแล้ว ค่าน้ำมันก็ต้องจ่าย บางทีค่ากินแทบไม่พอ ซึ่งไม่รู้เราจะไหวไหม เราอาจต้องเป็นคนที่แบกภาระค่าใช้จ่ายหนักกว่าเค้า
จากปัญหาที่ผ่านๆมา หลักๆคือเรื่อง“เงิน” มันทำให้เวลาเราหาเงินมา เราเลือกที่จะเก็บหมด ไม่กล้าใช้เพื่อตัวเองเลย ไม่กล้าเที่ยว ไม่กล้าซื้อของแพงๆให้ตัวเอง ไม่กล้าซื้อเสื้อผ้า ทำผม ซื้อความสุขให้ตัวเอง เพราะกังวลว่า เราจะพอให้เค้ายืมไหม เวลาไปเที่ยวไหน ค่าใช้จ่ายต้องx2 เพราะเราจะออกเงินให้เค้าก่อนตลอด แล้วเค้าค่อยทะยอยคืน ต้องมากังวลว่าอนาคตแต่งงานกันไป เงินจะพอใช้จ่ายไหม ในหัวมีแต่กังวลไปหมด
สุดท้ายเราตัดสินใจทิ้งเค้า เพราะเรากลัว และเราไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่ไม่แน่นอน ทั้งที่เรามองเห็นปัญหาทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้ว ตอนนี้เรามีสิทธิ์เลือกเยอะมาก เราทั้งหน้าที่การงานดี การศึกษาดี หน้าตาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร พื้นฐานครอบครัวก็ดี เราจึงเลือกจบความสัมพันธ์ เลือกที่จะเดินออกมา ให้ตัวเองได้มีสิทธิเลือกอีกครั้ง….
เรารู้สึกผิดที่ทิ้งเค้า เราผิดไหม? ที่เรารักเค้าไม่มากพอที่จะไปลำบากกับเค้า…
ก่อนจากกัน เค้าถามเราว่า เราไม่รักกันตั้งแต่ตอนไหน ในใจเราคือ เรื่อง“เงิน” มันบั่นทอนความรู้สึกรักมาเรื่อยๆนะ เราไม่เคยต้องการคนรวยกว่า หรือซัพพอร์ตเราหมดทุกอย่าง แต่ขอแค่ดูแลตัวเองได้ ไม่เบียดเบียนกัน เค้าไม่เบียดเบียนเรา ญาติเค้าไม่เบียดเบียนแค่นั้นเอง
บางคนมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นแฟน แต่ไม่เพียงพอต่อการเป็นคู่ชีวิตกัน ผิดไหมที่เราตัดสินใจเลิกกับแฟน ทั้งที่มีแพลนจะแต่ง
กระทู้สนทนา
ประสบการณ์ชีวิตคู่
ปัญหาความรัก
ประสบการณ์ความรัก
ศาลาคนเศร้า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราถึงได้รู้ว่า การเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต มันยากมากนะ ต่างกับตอนที่เราเลือกใครสักคนมาเป็นแฟน เพราะมันมีปัจจัยอีกหลายอย่างในการใช้ชีวิตคู่ แค่ความดี ความซื่อสัตย์ ความขยันทำมากิน หรือแค่ใจ มันไม่พอจริงๆ เพราะการเริ่มต้นสร้างครอบครัว มันใช้เงินเยอะมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เงิน” คือปัจจัยสำคัญอย่างนึงในการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน อ่านถึงตรงนี้ อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าเราเห็นแก้เงินนะคะ แค่จะบอกว่า ไม่ต้องรวย ไม่ต้องมีมากกว่าก็ได้ ขอแค่มีเท่าๆกัน ไม่เบียดเบียนกันก็พอ รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ หรือที่ผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเลือกคนที่“ศีลเสมอกัน” แล้วชีวิตคู่จะยืนยาว
ปีนี้เรามีแพลนจะแต่งงานกัน แต่ยิ่งใกล้ถึงวันแต่งเราเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเราเลือกจะทิ้งเค้า เพราะ
1. เราไม่ไหวที่จะซัพพอร์ตเค้าไปตลอดชีวิต ด้วยความที่เค้าเงินเดือนน้อยกว่า และอายุน้อย หลายๆครั้งเราต้องซัพพอร์ตเค้าเรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยออกค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถเค้า เราช่วยเค้าออกหมด เอาเงินเก็บส่วนตัว ดาวน์รถให้ หรือให้เค้ายืมเงินบ่อยๆ ถึงแม้ว่าเค้าจะคืนทุกครั้ง แต่มันบั่นทอนความรู้สึกเราลงไปเรื่อยๆ (ไม่จำเป็นต้องมีมากกว่าแต่ต้องไม้เบียดเบียนกัน) แล้วในอนาคตเราต้องซัพพอร์ตเค้าไปอีกกี่ปี ให้เค้าสามารถตั้งตัว และดูแลเราได้
2. พื้นฐานครอบครัวเค้าแตกต่างกับเราเกินไป ทั้งฐานะทางบ้าน บ้านเราครอบครัวซัพพอร์ตเราหมด ไม่ให้เราต้องลำบากเลยแม้แต่นิด ต่างจากครอบครัวเค้า ที้เค้าดิ้นรนมาด้วยตัวเอง ไม่คิดที่จะพึ่งพ่อแม่ ซึ่งมันก็ดี แต่มันก็มีตะหงิดใจที่ เค้าไม่เคยขอให้ที่บ้านซัพพอร์ต แต่กลับมารบกวนแฟนให้ซัพพอร์ตให้แทน
3. ที่บ้านเรามีแต่ให้เค้า พาไปกินข้าว ก็เลี้ยงเค้ามื้อดีๆ ต่างจากครอบครัวเค้า ที่เค้าพาไปกินข้าว ยังต้องเลี้ยง ทั้งที่เงินเดือนตัวเองก็แทบไม่พอใช้ จนบางครั้งเราอดสงสารไม่ได้ ต้องถามว่าเราช่วยออก เพื่อเลี้ยงข้าวญาติเค้าด้วย
4. ญาติเราไม่เคยไปรบกวนเงินเค้าเลย มีแต่ญาติเค้าที่ชอบมาขอยืมเงิน พอเค้าไม่มี ก็บอกให้เค้ามายืมเรา ซึ่งเราก็เคยให้ไป คิดว่านี่ขนาดไม่แต่งงานนะ ถ้าแต่งงานจะขนาดไหน เค้าบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ในความรู้สึก คือมันไม่ใช่เลย มันคือการแต่งกับครอบครัวเค้าด้วย ไม่งั้นญาติเค้าคงไม่มารบกวนเรา
5. พ่อเค้าเป็นคนใช้เงินเก่งมาก ใช้เงินเกินตัว หลายครั้งไปก่อหนี้ ให้แม่หรือคนในครอบครัวเค้าต้องมาตามแก้ และไม่เคยซัพพอร์ตลูกชายตัวเองเลย ซึ่งเราก็กลัวว่าแต่งงานกันไป เราอาจเสี่ยงต้องไปใช้หนี้แทนพ่อเค้า ต่อให้เค้าบอกว่าเค้าวางแผนไว้หมดแล้ว จะไม่ให้ถึงเรา แต่มันคือความเสี่ยงที่เราเห็นอยู่แล้วตรงหน้า ต่างจากพ่อแม่เราที่มีแต่ให้ลูก ไม่เคยขออะไรคืนเลยสักอย่าง
6. มุมมองการมีลูกก็ต่างกัน เค้าอยากมีลูกมาก เหตุผลนึงที่อยากรีบแต่งงานกับเราคือ กลัวเรามีลูกไม่ได้ ถ้าอายุมาก แต่เราในตอนนี้ไม่อยากมีเลย แค่ตอนนี้อยากจะใช้เงินเพื่อตัวเอง ยังไม่ได้เลย เพราะต้องเก็บไว้เยอะๆ เผื่อแต่งงานกันไปแล้ว เงินไม่พอ แล้วยิ่งเราเป็นฝ่ายซัพพอร์ตเค้ามากกว่า เรายิ่งไม่อยากมี้ข้าไปอีก
7. อายุเรากับเค้าต่างกันเกินไป ในอนาคตเค้าอายุ 30 เราปาไปจะ 40 แล้ว เราคงไม่มีทางเลือกอะไรในชีวิตแล้ว ส่วนเค้าคงมีพร้อมทั้งเงิน บ้าน หน้าที่การงาน มีผู้หญิงเข้าหาเค้าอีกเยอะ อะไรจะการันตีว่าถึงวันนั้นเค้าจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรการันตีความซื่อสัตย์ในอนาคตได้ เป็นความเสี่ยงที่เราเห็นชัดเจน แล้วเราไม่พร้อมจะรับมัน
8. เราไม่มีหนี้อะไรเลย แต่เค้ายังมีหนี้รถที่ต้องผ่อนอีก 5 แสนกว่า ถ้าแต่งไป ก็คงไม่พ้นเร่ต้องไปช่วยเค้าผ่อนรถ เพราะแต่งงานกันก็เท่ากับรวมกระเป๋าตังกัน และวางแผนจะซื้อบ้านกันอีก คงไม่พ้นเราต้องไปผ่อนรถ ผ่อนบ้าน น้ำหนักทางค่าใช้จ่าย คงเทมาทางเราเยอะมาก ซึ่งทุกวันนี้ เค้าผ่อนรถก็ตึงมือมากแล้ว ค่าน้ำมันก็ต้องจ่าย บางทีค่ากินแทบไม่พอ ซึ่งไม่รู้เราจะไหวไหม เราอาจต้องเป็นคนที่แบกภาระค่าใช้จ่ายหนักกว่าเค้า
จากปัญหาที่ผ่านๆมา หลักๆคือเรื่อง“เงิน” มันทำให้เวลาเราหาเงินมา เราเลือกที่จะเก็บหมด ไม่กล้าใช้เพื่อตัวเองเลย ไม่กล้าเที่ยว ไม่กล้าซื้อของแพงๆให้ตัวเอง ไม่กล้าซื้อเสื้อผ้า ทำผม ซื้อความสุขให้ตัวเอง เพราะกังวลว่า เราจะพอให้เค้ายืมไหม เวลาไปเที่ยวไหน ค่าใช้จ่ายต้องx2 เพราะเราจะออกเงินให้เค้าก่อนตลอด แล้วเค้าค่อยทะยอยคืน ต้องมากังวลว่าอนาคตแต่งงานกันไป เงินจะพอใช้จ่ายไหม ในหัวมีแต่กังวลไปหมด
สุดท้ายเราตัดสินใจทิ้งเค้า เพราะเรากลัว และเราไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่ไม่แน่นอน ทั้งที่เรามองเห็นปัญหาทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้ว ตอนนี้เรามีสิทธิ์เลือกเยอะมาก เราทั้งหน้าที่การงานดี การศึกษาดี หน้าตาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร พื้นฐานครอบครัวก็ดี เราจึงเลือกจบความสัมพันธ์ เลือกที่จะเดินออกมา ให้ตัวเองได้มีสิทธิเลือกอีกครั้ง….
เรารู้สึกผิดที่ทิ้งเค้า เราผิดไหม? ที่เรารักเค้าไม่มากพอที่จะไปลำบากกับเค้า…
ก่อนจากกัน เค้าถามเราว่า เราไม่รักกันตั้งแต่ตอนไหน ในใจเราคือ เรื่อง“เงิน” มันบั่นทอนความรู้สึกรักมาเรื่อยๆนะ เราไม่เคยต้องการคนรวยกว่า หรือซัพพอร์ตเราหมดทุกอย่าง แต่ขอแค่ดูแลตัวเองได้ ไม่เบียดเบียนกัน เค้าไม่เบียดเบียนเรา ญาติเค้าไม่เบียดเบียนแค่นั้นเอง
ถูกใจให้พอยต์